สารก่อภูมิแพ้ในอากาศ (Aeroallergen) เป็นปัจจัยสำคัญในการก่อให้เกิดโรค และเป็นตัวกระตุ้นสำคัญตัวหนึ่ง จากการศึกษาที่โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ได้มีการศึกษาในผู้ป่วยผู้ใหญ่ที่เป็นโรคหอบหืดและโพรงจมูกอักเสบ ตั้งแต่ พ.ศ. 2538 – 2547 พบว่าสารก่อภูมิแพ้ที่สำคัญ อันดับแรกยังคงเป็นไรฝุ่น (62.6-70.7%) รองมาเป็นฝุ่นบ้าน (54.4-63%) แมลงสาบ (36.9-41.3%) เชื้อรา (19.6-38.3%) เกสรหญ้า (11.9-17.4%) และขนรังแคสัตว์เลี้ยง (10.3-15.2%) โดยผู้ที่เป็นทั้ง 2 โรคจะให้ผลบวกมากกว่าผู้ที่เป็นเพียงโรคเดียว
สำหรับผู้ที่ไม่มีอาการภูมิแพ้เลยจะแพ้ได้หรือไม่พบว่า จากการศึกษาที่โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ได้มีการศึกษาในอาสาสมัครผู้ใหญ่ที่ไม่มีอาการของโรคภูมิแพ้จำนวน 100 คนใน ปีพ.ศ.2547 พบว่าอาสาสมัครปกติให้ผลบวกต่อการทดสอบผิวหนังแบบสะกิด (Skin prick test for aeroallergen) ได้สูงถึง 42% โดยมีผู้ที่ให้ผลบวกต่อสารก่อภูมิแพ้สูงสุดถึง 7 ชนิดจาก 16 ชนิด
สารก่อภูมิแพ้ที่ให้ผลบวกมากที่สุด 3 อันดับแรกได้แก่ ไรฝุ่น (33%) รองมาคือฝุ่นบ้าน (23%) และแมลงสาบ (20%) แต่ถ้าพิจารณาเฉพาะผู้ที่ให้ผลบวกต่อการทดสอบ 3+ ขึ้นไปต่อสารอย่างน้อย 1 ชนิด พบว่าอาสาสมัครปกติให้ผลบวกต่อการทดสอบเพียง 19% (พบส่วนใหญ่ใน house dust และ mite)
จากการศึกษาจากต่างประเทศในอดีตพบว่าประชากรทั่วไปที่ไม่มีอาการของโรคภูมิแพ้สามารถให้ผลบวกต่อ Allergy skin test ได้ถึงร้อยละ 3-50 ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับวิธีการตรวจ Allergenic extract อายุ เชื้อชาติ ที่อยู่ โดยพบว่าร้อยละ 30-60 จะเป็นโรคภูมิแพ้ได้ในอนาคตขึ้นกับสารที่แพ้และระยะเวลาที่ติดตามผล อย่างไรก็ตามในปัจจุบันยังไม่มีความจำเป็นที่จะต้องทำการทดสอบภูมิแพ้ในผู้ที่ไม่มีอาการ
โรคภูมิแพ้ (Atopic disease) ประกอบด้วยโรคจมูกอักเสบจากภูมิแพ้ (allergic rhinitis) โรคหอบหืด (asthma) โรคผื่นผิวหนังภูมิแพ้เรื้อรัง (atopic dermatitis) โรคจมูกอักเสบจากภูมิแพ้เป็นโรคเรื้อรังที่พบมากที่สุด โดยพบอุบัติการณ์ประมาณร้อยละ 10-20 ของประชากรทั่วโลกและมีแนวโน้มที่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ โรคเหล่านี้ทำให้เกิดความไม่สบายกายและใจ มีผลต่อคุณภาพชีวิตและความสามารถในการทำงานลดลง เกิดโรคแทรกซ้อน อีกทั้งทำให้เกิดความสิ้นเปลืองทางเศรษฐกิจจากค่ายาที่ต้องใช้รักษาอย่างต่อเนื่อง และค่าใช้จ่ายทางอ้อม เช่น จากการขาดงาน การทำงาน และการเรียนรู้ขาดประสิทธิภาพ
การรักษาโรคที่เกิดจากภูมิแพ้นั้น ผู้ป่วยจำเป็นต้องหลีกเลี่ยงสิ่งที่ทำให้เราเกิดอาการแพ้และระคายเคือง เราสามารถทราบว่าผู้ป่วยแพ้สิ่งใดได้โดยการทำการทดสอบ Skin test หรือ RAST test ชึ่งเป็นการทดสอบ specific IgE ต่อ allergen แต่ละชนิด นอกจากนั้นผู้ป่วยควรรักษาร่างกายและจิตใจให้ดี และออกกำลังกายสม่ำเสมอ ใช้ยาให้ถูกต้องตามแพทย์สั่ง
ดี เอ คลินิก เป็นคลินิกเวชกรรมเฉพาะทาง ด้านผิวหนัง เลเซอร์ความงาม (Dermatology and Cosmetic Laser Surgery) และด้านโรคภูมิแพ้, วิทยาภูมิคุ้มกันคลินิก (Allergy and Immunology Clinic) ตรวจรักษาโดยแพทย์เฉพาะทาง
รับสมัครพนักงานประจำคลินิก วุฒิ ม.6,ปริญญาตรีหรือเทียบเท่า ถ้ามีประสบการณ์จะพิจารณาเป็นพิเศษ รายได้ดี มีประกันสังคม
We have 66 guests and no members online