การทดสอบภูมิแพ้ทางผิวหนัง

ปกติการตรวจเพื่อวินิจฉัยโรคภูมิแพ้จำเป็นต้องตรวจดูว่าผู้ป่วยสร้างภูมิคุ้มกันเฉพาะ (specific IgE) ต่อสารก่อภูมิแพ้ที่สงสัยหรือไม่ซึ่งอาจทำได้โดยการตรวจเลือดได้แก่ การตรวจ RAST (Radioallergosorbent test) หรือ การตรวจในผู้ป่วยโดยตรงได้แก่ การการทดสอบภูมิแพ้ทางผิวหนัง (skin test) โดยทั่วไปแพทย์ผู้เชี่ยวชาญทางภูมิแพ้มักทำการตรวจ skin test เพราะทำได้ง่าย รวดเร็ว และสิ้นเปลืองน้อยอีกทั้งยังมีความไวและความจำเพาะสูง

ข้อบ่งชี้ในการทดสอบภูมิแพ้ทางผิวหนัง

  1. เพื่อใช้ในการวินิจฉัยโรคภูมิแพ้ร่วมกับอาการทางคลินิก
  2. เพื่อศึกษาระบาดวิทยาของโรคภูมิแพ้ในกลุ่มประชากรต่างๆ หาสารก่อภูมิแพ้ที่เป็นปัญหาสำคัญ หรือติดตามการแพ้ต่อสารตัวใหม่ๆ
  3. ใช้ศึกษาเกี่ยวกับมาตรฐานของสารทดสอบภูมิแพ้
  4. เพื่อศึกษา pharmacokinetics และ pharmacodynamic ของยารักษาโรคภูมิแพ้
  5. เพื่อศึกษาผลการรักษาเกี่ยวกับการฉีดวัคซีนภูมิแพ้ (Allergen Immunotherapy)

วิธีการทดสอบภูมิแพ้ทางผิวหนังแบบสะกิด (skin prick test)

ก่อนทำการตรวจ ผู้รับการตรวจจะได้รับคำแนะนำให้หยุดยาแก้แพ้ยา แก้หวัด และยาอื่นๆ ที่อาจมีผลทำให้ผลการตรวจผิดพลาดเป็นเวลาอย่างน้อย 3-7 วัน การตรวจทำได้โดยการหยดสารสกัดจากสารก่อภูมิแพ้ต่างๆ (extract) ลงบนผิวหนังและใช้เข็มสะกิดผิวหนังผ่านหยดสารสกัดโดยสะกิดเบาๆ ให้เข็มทำมุมประมาณ 60-70 องศากับผิวหนัง สะกิดลงไปถึงชั้น epidermis เท่านั้น ไม่ควรมีเลือดออกทิ้งไว้ประมาณ 15-30 นาที จะเช็ดน้ำยาสารสกัดออกหรือไม่ ก็ได้อ่านผลโดยวัดขนาดของรอยบวม (wheal) หรือร่วมกับรอยแดง (flare) ที่เกิดขึ้น 

วิธีนี้เป็นวิธีที่แนะนำเป็นวีธีแรกในการตรวจวินิจฉัยโรคภูมิแพ้โดยทั่วไปเนื่องจากเป็นวิธีที่ปลอดภัย โอกาสเกิด systemic reaction น้อยมากนอกจากนี้ยังทำได้ง่ายใช้เวลาน้อย

รูปแสดงผลการทดสอบภูมิแพ้ทางผิวหนัง 

หยดสารก่อภูมิแพ้ลงบนผิวหนัง

 

ปฏิกิริยาที่ให้ผลบวกจะเป็นรอยนูนแดงขึ้นมา (wheal) และมีรอยแดงล้อมรอบ (flare)